ใครนอนไม่หลับ มาดู 9 วิธีแก้ รับรองช่วยให้หลับง่าย

ใครนอนไม่หลับ มาดู 9 วิธีแก้ รับรองช่วยให้หลับง่าย

การนอนไม่หลับนั้นเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวันของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่มีความเครียดและกังวลมากขึ้น หากเราไม่หลับสบาย อาจทำให้มีผลกระทบต่อสุขภาพทั้งกายและจิตใจได้ ดังนั้น Firstway จึงได้รวบรวมวิธีการแก้ไขอาการนอนไม่หลับมาไว้ในบทความนี้แล้วกับการแนะนำ 9 วิธีแก้ไขอาการนอนไม่หลับ จะมีวิธีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย

สาเหตุของการนอนไม่หลับ

การนอนไม่หลับเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้บ่อยในปัจจุบัน และมีหลายสาเหตุที่ทำให้เกิด เช่น

  1. ภาวะโรคทางร่างกาย เช่น โรคประสาทสัมผัส โรคซึมเศร้า โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด
  2. การกินอาหารไม่เหมาะสม เช่น กินอาหารที่มีเนื้อสัตว์หนาหรือมีคาวปรุงสูง เป็นต้น
  3. การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเยอะ เช่น กาแฟ ชาและโซดา
  4. การทำอาชีพหนักและต้องใช้แรงงานเยอะ
  5. การเปลี่ยนสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสม เช่น ฝนตกหนัก อากาศร้อนจัดหรือหนาวจัด
  6. ภาวะความเครียด และกังวลเกินไป

การรู้สาเหตุของการนอนไม่หลับจะช่วยให้เราสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมต่อสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่เราต้องเผชิญในชีวิตประจำวันได้ในทันที

ผลกระทบจากการนอนไม่หลับ

การนอนไม่หลับส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจได้อย่างมากมาย เช่น

  1. ทำให้ร่างกายไม่สดชื่นและไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. ทำให้ความจำและการเรียนรู้เสียหาย
  3. ทำให้เกิดภาวะเครียดและวิตกกังวล
  4. เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคซึมเศร้า
  5. ทำให้ร่างกายไม่สามารถฟื้นตัวและพักผ่อนให้เพียงพอ
  6. ทำให้ร่างกายมีการผลิตฮอร์โมนความเครียดและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ
  7. ทำให้ผู้ที่มีปัญหาการนอนไม่หลับเป็นเวลานาน มีความอ่อนเพลีย ขาดความสดชื่น และมีผลกระทบต่อสุขภาพจิตใจ

การนอนไม่หลับส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจได้อย่างมากมาย ดังนั้น ควรดูแลสุขภาพและปรับพฤติกรรมการนอนให้เหมาะสมเพื่อลดอาการนอนไม่หลับและป้องกันผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจในอนาคต

3544-Sleep-1

วิธีแก้อาการนอนไม่หลับ

  1. การจัดห้องนอนให้เหมาะสมสำหรับการนอนควรพิจารณาเรื่องต่างๆ ดังนี้ ต้องเช็ครอบห้องให้ดีและไม่มีเสียงรบกวน อุณหภูมิห้องควรเหมาะสมไม่ร้อนหรือหนาวเกินไป และสิ่งสำคัญที่สุดคือห้องนอนควรมืดสนิทเพื่อการนอนหลับที่ดีและมีประสิทธิภาพ
  2. ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน โดยเฉพาะช่วงเวลาบ่ายถึงก่อนนอน
  3. การดื่มนมอุ่นๆ ก่อนนอนจะช่วยลดความเครียดและเพิ่มความผ่อนคลายในร่างกาย ช่วยสร้างสมดุลในระบบประสาทและช่วยให้การนอนหลับมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
  4. ไม่ควรงีบหลับในช่วงกลางวัน เพราะอาจส่งผลกระทบต่อการนอนในเวลากลางคืนได้ ถ้ารู้สึกง่วงจนทนไม่ไหวจริงๆ ก็ควรหยุดพักและพยายามรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผลไม้ และอย่างแน่นอนควรหลีกเลี่ยงการงีบหลับเกิน 1 ชั่วโมง ดังนั้น หากไม่รู้สึกง่วงจนทนไม่ไหวก็ควรเลิกงีบหลับเพื่อให้ร่างกายพักผ่อนให้เพียงพอ และไม่ส่งผลกระทบต่อการนอนในเวลากลางคืน
  5. ควรนอนให้พอเหมาะ ไม่ควรนอนมากเกินไป เพราะจะทำให้ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลียและมีผลต่อการนอนต่อไป หลังจากตื่นนอนควรลุกจากเตียงและเดินไปสูดอากาศให้เต็มปอด เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับกิจกรรมต่อไป ยิ่งถ้าเป็นช่วงเช้าก็ยิ่งช่วยให้ร่างกายสดชื่นและกระตือรือร้นในการเริ่มวัน
  6. การเข้านอนและตื่นนอนตามเวลาที่กำหนด จะช่วยให้เรามีนิสัยในการนอนที่ดี ไม่ควรเปลี่ยนแปลงเวลานอนโดยม่จำเป็น เพราะจะช่วยให้มีการหลับและตื่นขึ้นมาในเวลาเดียวกัน ทำให้ร่างกายมีจังหวะการทำงานที่สมดุลและไม่เหนื่อยง่ายในช่วงวันที่ต้องเริ่มงานหรือกิจกรรมต่างๆ ต่อไป
  7. หากเกิน 15-20 นาทีแล้วยังนอนไม่หลับ ควรลุกออกจากเตียงแล้วหาทำกิจกรรม เช่น ฟังเพลง อ่านหนังสือวิชาการหรือธรรมมะ เพื่อช่วยให้รู้สึกง่วงได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงการดูโทรทัศน์หรือเล่นคอมพิวเตอร์ เพราะแสงจากหน้าจอจะกระตุ้นให้สมองตื่นตัวได้
  8. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30-45 นาที 3-4 วันต่อสัปดาห์ จะช่วยลดความตึงเครียดทางอารมณ์และร่างกายได้ ดังนั้น ควรออกกำลังกายเป็นประจำ โดยเฉพาะในช่วงเช้าและเย็น เพราะจะช่วยให้ร่างกายและสมองมีสมดุลพลังงาน แต่ไม่ควรออกกำลังกายในช่วงก่อนนอนหรือใกล้เวลานอน เพราะอุณหภูมิในร่างกายจะสูงขึ้นและกระตุ้นสมองให้ทำงาน ซึ่งอาจทำให้เราหลับยากขึ้น
  9. ใช้เทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึก ๆ การฟังเพลงที่ช่วยผ่อนคลาย หรือการทำโยคะ สามารถช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย ลดความเครียด และช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาการนอนไม่หลับหลับสนิทขึ้น

การแก้ไขอาการนอนไม่หลับสามารถทำได้โดยใช้วิธีต่าง ๆ อย่างเช่น รักษาสุขอนามัยให้ดี รับประทานอาหารที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในช่วงบ่ายถึงก่อนนอน ปรับเวลานอนให้เป็นระเบียบ นอนในห้องที่มืดสนิท ปรับอุณหภูมิห้องให้เหมาะสม และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เป็นต้น แต่หากอาการยังไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องเพื่อรับการตรวจสอบและรักษาต่อไป

แชร์บทความนี้:

Facebook
Twitter
Email

สารบัญ

สิ่งที่คุณอาจจะสนใจ