วิธีลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า ผิวหน้าเนียนใสไร้รอย

วิธีลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า ผิวหน้าเนียนใสไร้รอย 100%

สำหรับหนุ่ม-สาวคนไหนที่มีปัญหาผิวหน้าไม่เรียบเนียนจากริ้วรอยและสิว หรือผู้ที่มีปัญหาแผลเป็น โดยอาจเกิดจากสิ่งต่าง ๆ เช่น สิว หรือปัจจัยอื่น ๆ มากมายรอบตัว ส่งผลให้ความมั่นใจ ลดลง แต่หากเกิดเป็นแผลบนใบหน้าก็อย่ากังวลมากจนเกินไป เพราะยังมีวิธีดูแลเพื่อให้รอยแผลหายไปเร็ว ๆ ได้ Firstway ได้รวบรวมมาแล้วว่าสามารถทำได้โดยวิธีใดบ้าง

ประเภทของรอยแผลเป็น

เมื่อต้องการรักษารอยแผลเป็น สิ่งที่จำเป็นต้องทำเป็นอย่างแรก คือการทำความรู้จักประเภทของรอยแผลเป็นก่อน ว่ามีแบบไหนบ้าง เพื่อให้สามารถรักษาได้อย่างถูกต้องตามประเภทของรอยแผลเป็น โดยรอยแผลเป็นที่พบได้บ่อย ๆ ได้แก่

รอยแผลเป็น คีลอยด์

3451-Scar-1

คีลอยด์ ประเภทของรอยแผลเป็นที่เกิดจากเซลล์ผิวหนังที่ไม่สามารถทำปฏิกิริยาต่อการรักษาแผล ทำให้กลายเป็นแผลเป็นนูน มีสีเข้ม และรักษาค่อนข้างยาก การรักษาแผลเป็นคีลอยด์จึงต้องใช้เวลาและความอดทนในการดูแล

รอยแผลเป็น ผิวหนังย่น

3451-Scar-2

ผิวหนังย่น ประเภทของรอยแผลเป็นที่เกิดจากการหดตัวของผิวหนัง โดยมักจะเกิดขึ้นหลังจากที่ผิวหนังได้รับการเผาไหม้หรือได้รับการบาดเจ็บรุนแรง และทำให้ผิวหนังตึงขึ้น

รอยแผลเป็น จากสิว

3451-Scar-3

แผลเป็นที่เกิดขึ้นจากสิวเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย เป็นประเภทของรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นได้จากสิวที่มีความรุนแรง ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกวัย แม้ว่าจะมีการรักษาสิวไปแล้ว แน่นอนว่ารอยแผลเป็นจากสิวก็จะยังคงอยู่ในรูปแบบของหลุมหรือรูขุมขนลึกบนผิวหนังได้

รอยแผลเป็น จากรอยแตกลาย

3451-Scar-4

รอยแตกลาย เป็นประเภทของรอยแผลเป็นที่แผลเป็นที่ยุบตัวเมื่อผิวหนังมีการยืดเร็วมากเกินไป และมักพบว่าเป็นปัญหาส่วนใหญ่ในผู้หญิงตั้งครรภ์ หรือคนที่มีน้ำหนักเกินหรือคนที่มีการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว เมื่อผิวหนังยืดเร็วเกินไป กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อที่อยู่ด้านใต้ผิวหนังจะถูกแตกและสร้างเป็นแผลที่สามารถเห็นได้เป็นเนื้อตามผิวหนัง

วิธีลบรอยแผลเป็น ด้วยตัวเอง

สิ่งที่ง่ายและทำได้เลยทันที นั่นก็คือ วิธีการดูแลผิวหน้าด้วยตัวเองก่อน จึงได้มีวิธีการรักษารอยแผลเป็นที่สามารถทำได้ง่าย ๆ ที่บ้านด้วยตัวเอง ดังนี้

3451-Scar-6

ใช้น้ำผึ้งและนม

น้ำผึ้งและนมสามารถใช้เพื่อลดรอยแผลเป็นได้ โดยสูตรนี้จะช่วยให้ผิวหน้าของคุณดูนุ่มนวลและกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น วิธีการก็ง่ายมาก เพียงแค่ให้ผสมนมสด 1 ช้อนชา และน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา เข้าด้วยกัน จากนั้นให้ทาบนบริเวณแผลเป็นเวลา 30 นาที หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาด ซึ่งจะช่วยให้รอยแผลจางลงได้เร็วขึ้นและผิวบริเวณนั้นก็จะสมารถกลับมาอ่อนนุ่มเหมือนเดิมได้

ใช้เจลว่านหางจระเข้

ว่านหางจระเข้ เป็นสมุนไพรที่มีชื่อเสียงในด้านการช่วยรักษาและต้านการอักเสบของผิวหน้า วิธีการใช้ง่าย ๆ คือ ใช้เจลว่านหางจระเข้บริสุทธิ์ทาบนผิวหน้าเบา ๆ ทั่วทั้งใบหน้า แล้วทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำเปล่า หรืออาจจะเติมน้ำมันทีทรีลลงไปประมาณ 2-3 หยดเพื่อช่วยฆ่าเชื้อโรคและลดการเกิดสิวได้อีกด้วย

ใช้น้ำมันมะพร้าว

แผลเป็นส่วนใหญ่ คือ ผิวที่แห้ง ดังนั้น จึงควรหมั่นเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวบริเวณนั้น ๆ เป็นพิเศษ โดยการใช้น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ประมาณ 3-5 กรัม นวดให้ทั่วแผลเป็น โดยสามารถทิ้งไว้ได้นานเท่าไรก็ได้ตามความต้องการ

ใช้แอปเปิ้ลไซเดอร์

แอปเปิ้ลไซเดอร์เหมาะกับผิวที่มีรอยแผลเป็นจากสิวและมีแนวโน้มที่จะเป็นสิวอีก เพราะแอปเปิ้ลไซเดอร์มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและการฆ่าเชื้อ วิธีการใช้งานก็ง่ายมาก เพียงแค่ผสมแอปเปิ้ลไซเดอร์กับน้ำสัดส่วน 1:1 จากนั้นใช้สำลีชุบน้ำที่ผสมแล้วเช็ดให้ทั่ว โดยเน้นที่รอยดำและรอยแผลจากสิว ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที จากนั้นจึงนำสำลีออกและล้างออกด้วยน้ำสะอาด

ใช้น้ำมันฝรั่ง

น้ำมันฝรั่งมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการเสื่อมสภาพของผิวหนังและช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้นและมีประโยชน์ต่อการลดรอยแผลเป็นและจุดด่างดำ เพียงแค่คั้นน้ำมันฝรั่งแล้วทาทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออก หรือสามารถใช้มันฝรั่งฝานบาง ๆ แล้วนำมาวางบริเวณที่มีรอยแผลเป็นก็ได้

วิธีลบรอยแผลเป็น ด้วยเทคโนโลยี

นอกจากวิธีการรักษาแผลด้วยตนเองแล้ว ยังมีวิธีการอื่น ๆ ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์เข้ามาช่วย ซึ่งมีหลายวิธีให้เลือก ดังนี้

3451-Scar-5

การใช้เลเซอร์

วิธีการใช้เลเซอร์เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการรักษาแผลเป็น เพราะสามารถใช้เลเซอร์ชนิด IPL หรือการบำบัดด้วยแสง เพื่อกำจัดเนื้อเยื่อแผลเป็นใต้พื้นผิวหนัง และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเมื่อทำอย่างต่อเนื่องจะทำให้แผลเป็นจางลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การใช้ฟิลเลอร์ลดรอยแผลเป็น

การรักษาแผลด้วยการใช้ฟิลเลอร์ เหมาะสำหรับแผลเป็นที่เป็นหลุม เช่น หลุมสิว เพราะคือการใช้เทคนิคการเติมฟิลเลอร์ลงไปในหลุมสิว เพื่อให้เนื้อผิวเต็มขึ้น ช่วยในการทำให้หลุมสิวจางลง แต่มีข้อเสียคือผลลัพธ์จะคงอยู่ได้ประมาณ 18 เดือนเท่านั้น และต้องเติมเรื่อยๆ เพื่อให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด

Microneedling (ไมโครนีดลิ่ง)

โดยธรรมชาติของผิวหนังแล้ว เมื่อเกิดความเสียหาย ผิวจะสร้างคอลลาเจนขึ้นมาเพื่อทดแทนเนื้อเยื่อที่สูญเสียไป และเพื่อช่วยซ่อมแซมผิวหนัง ด้วยเหตุนี้จึงเกิดเทคโนโลยี Microneedling (ไมโครนีดลิ่ง) ขึ้นมา โดยวิธีการก็คือ แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กและแม่นยำ แทงลงไปในแผลเป็น เพื่อจำลองความเสียหายของผิวหนัง ทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนธรรมชาติ เพื่อช่วยซ่อมแซมแผลในขนาดที่เล็กลง ซึ่งเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการซ่อมแซมผิวหนังได้และช่วยลดขนาดของแผลอย่างมีประสิทธิภาพ

การสักเพื่อลบรอยแผลเป็น

การใช้เทคนิคการสักสีเข้าไปอยู่พื้นผิวของรอยแผลเป็น เพื่อให้สีที่เหมือนกับสีผิวจริงไปลงบนผิวหนัง ทำให้สีผิวกลมกลืนกับรอยแผลเป็น โดยวิธีนี้สามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยให้รอยแผลหายไปได้ในทันทีเลย

หลังจากที่รู้วิธีการลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าแล้ว หากใครที่กำลังกังวลเรื่องรอยแผลเป็นบนใบหน้า สามารถลองเลือกวิธีที่สนใจดูได้เลย แต่ก็อย่าลืมว่าควรจะต้องหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็นด้วย เพราะการซ่อมแซมแผลเป็นนั้นต้องใช้เวลาและความอดทนเป็นอย่างมาก ดังนั้น หากสามารถหลีกเลี่ยงสาเหตุของการเกิดรอยแผลเป็นได้ก็จะดีกว่ามาก เพราะจะช่วยให้หน้าผิวกลับมาสวยเรียบเนียนได้อย่างรวดเร็ว

แชร์บทความนี้:

Facebook
Twitter
Email

สารบัญ

สิ่งที่คุณอาจจะสนใจ